วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ตัดแต่งต้นไม้


รู้กันสักนิดก่อนคิดจะ ตัดแต่งต้นไม้ใหญ่


การตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงฤดูหนาว ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระยะที่ต้นไม้พักตัว (สังเกตว่าต้นไม้จะเริ่มผลัดใบ) และเก็บสะสมอาหารเตรียมสำหรับการแตกยอดใบใหม่ในฤดูกาลถัดไป

 วัตถุประสงค์ของการตัดแต่งต้นไม้

  1. ตัดแต่งเพื่อความสวยงาม ลดความแน่นทึบของทรงพุ่ม อันเป็นสาเหตุทำให้อับแสง อับลม แถมยังเป็นแหล่งสะสมโรคและแมลง โดยเริ่มตัดจากกิ่งที่ไม่สมบูรณ์ เปราะบาง มีแนวโน้มฉีกขาดและหักได้ง่าย เมื่อทรงพุ่มโปร่งบางขึ้น ก็จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดจากลมพายุ แสงแดดสามารถส่องลงมายังพุ่มที่อยู่ด้านล่างได้อย่างทั่วถึง
  2. บำรุงรักษากิ่งที่เสียหายจากโรคหรือแมลงเข้าทำลายจนกิ่งแห้งตาย กิ่งที่หักจนเหลือตอ หรือฉีกขาดจากแรงลม หากปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ อาจเป็นแหล่งสะสมโรคและแมลง เช่น ปลวก ต่อ แตน ทำให้เกิดผลเสียอื่นๆตามมา
  3. บังคับทิศทางการเจริญเติบโตของต้นไม้ เช่น ป้องกันไม่ให้กิ่งก้านยื่นออกไปยังอาคารที่อยู่ใกล้เคียง หลบเลี่ยงสิ่งกีดขวางอย่างเสาไฟฟ้า หลังคา หรือระแนงของระเบียงชั้นสอง โดยสามารถควบคุมลักษณะทรงพุ่มได้ตามต้องการ เช่น อยากให้ต้นเจริญเติบโตในส่วนของยอด ให้ตัดกิ่งด้านข้างออก หรืออยากให้พุ่มแตกออกด้านข้าง ก็ตัดส่วนยอดทิ้ง
  4. ช่วยกระตุ้นให้ออกดอกและผลตามฤดูกาล ทั้งยังช่วยสร้างความสมดุลให้ต้นไม้ โดยเฉพาะต้นที่มีการเจริญเติบโตทางใบมาก การตัดแต่งกิ่งออกบ้างจะช่วยให้สัดส่วนของอาหารที่สะสมอยู่ในต้นไม้อยู่ในระดับที่เหมาะกับการออกดอกและผล นอกจากนี้การเลือกตัดกิ่งที่ไม่จำเป็น กิ่งที่แห้งตาย และกิ่งที่เป็นโรคออก จะช่วยให้ต้นไม้ฟื้นตัวเร็วหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต
ตัดแต่งต้นไม้ใหญ่


ลักษณะของกิ่งที่สมควรตัดทิ้ง

  1. ตัดแต่งเพื่อความสวยงาม ลดความแน่นทึบของทรงพุ่ม อันเป็นสาเหตุทำให้อับแสง อับลม แถมยังเป็นแหล่งสะสมโรคและแมลง โดยเริ่มตัดจากกิ่งที่ไม่สมบูรณ์ เปราะบาง มีแนวโน้มฉีกขาดและหักได้ง่าย เมื่อทรงพุ่มโปร่งบางขึ้น ก็จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดจากลมพายุ แสงแดดสามารถส่องลงมายังพุ่มที่อยู่ด้านล่างได้อย่างทั่วถึง
  2. บำรุงรักษากิ่งที่เสียหายจากโรคหรือแมลงเข้าทำลายจนกิ่งแห้งตาย กิ่งที่หักจนเหลือตอ หรือฉีกขาดจากแรงลม หากปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ อาจเป็นแหล่งสะสมโรคและแมลง เช่น ปลวก ต่อ แตน ทำให้เกิดผลเสียอื่นๆตามมา
  3. บังคับทิศทางการเจริญเติบโตของต้นไม้ เช่น ป้องกันไม่ให้กิ่งก้านยื่นออกไปยังอาคารที่อยู่ใกล้เคียง หลบเลี่ยงสิ่งกีดขวางอย่างเสาไฟฟ้า หลังคา หรือระแนงของระเบียงชั้นสอง โดยสามารถควบคุมลักษณะทรงพุ่มได้ตามต้องการ เช่น อยากให้ต้นเจริญเติบโตในส่วนของยอด ให้ตัดกิ่งด้านข้างออก หรืออยากให้พุ่มแตกออกด้านข้าง ก็ตัดส่วนยอดทิ้ง
  4. ช่วยกระตุ้นให้ออกดอกและผลตามฤดูกาล ทั้งยังช่วยสร้างความสมดุลให้ต้นไม้ โดยเฉพาะต้นที่มีการเจริญเติบโตทางใบมาก การตัดแต่งกิ่งออกบ้างจะช่วยให้สัดส่วนของอาหารที่สะสมอยู่ในต้นไม้อยู่ในระดับที่เหมาะกับการออกดอกและผล นอกจากนี้การเลือกตัดกิ่งที่ไม่จำเป็น กิ่งที่แห้งตาย และกิ่งที่เป็นโรคออก จะช่วยให้ต้นไม้ฟื้นตัวเร็วหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต
ตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ กิ่งที่ควรตัดทิ้ง

เทคนิคการตัดกิ่งไม้ขนาดใหญ่

(A) เลื่อยด้านล่างของกิ่งห่างจากลำต้นประมาณ 20 เซนติเมตร โดยตัดให้ลึกประมาณครึ่งหนึ่ง
     ของความหนาของกิ่ง เพื่อความปลอดภัยควรผูกเชือกไว้ที่กิ่งกับลำต้น
     ป้องกันการหล่นลงมาใส่ผู้ทำงานที่อยู่ด้านล่าง
(B) ตัดด้านบนให้ห่างจากรอยเดิมประมาณ 10 เซนติเมตรตามภาพ
(C) ครั้งสุดท้ายตัดให้ชิดลำต้น โดยให้รอยตัดตั้งฉากกับกิ่ง แผลจากการตัดต้องเรียบ ไม่เป็นแอ่ง เพราะอาจเกิดน้ำขังจนเป็นเชื้อรา อย่าลืมทาปูนแดงหรือสีน้ำมันทุกครั้งหลังการตัดแต่งกิ่งที่เกิดแผล




ตัดแต่งต้นไม้ใหญ่



เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับหมีขั้วโลก


                                         HOMEPAGE                                          

เหตุผลอันน่าประหลาดใจ ว่าทำไมหมีขั้วโลกต้องพึ่งพาน้ำแข็งทะเลเพื่ออยู่รอด

หมีขั้วโลก


งานวิจัยชิ้นใหม่สำรวจความเชื่อมโยงชิ้นสำคัญในห่วงโซ่อาหาร


ของเหล่าหมีขั้วโลก

ทุกฤดูหนาว น้ำแข็งในทะเลอาร์กติกจะขยายตัวรอบขั้วโลก กิ่งก้านเยือกแข็งของมันแผ่ขยายไปตามแนวชายฝั่งทางเหนือ ขณะนี้ น้ำแข็งทะเลเพิ่งผ่านจุดที่ขยายตัวมากที่สุดในรอบปี และจะเริ่มหดตัวเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับหมีขั้วโลก ซึ่งมีแหล่งอาหารที่เกี่ยวพันกับน้ำแข็งทะเลอย่างไม่อาจแยกขาดจากกันได้
และในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา น้ำแข็งทะเลหดตัวอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลด้านหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติ (National Snow and Ice Data Center) ระบุว่า ในปี 2019 น้ำแข็งทะเลที่ปกคลุมอาร์กติก มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับเจ็ด นับตั้งแต่พวกเขาเริ่มเก็บข้อมูลจากดาวเทียมเมื่อ 40 ปีก่อน
ในปีนี้ “[การหดตัวของน้ำแข็งทะเล] ไม่ได้สร้างสถิติใหม่ แต่สิ่งสำคัญคือแนวโน้ม” แอนดรูว์ เดโรเชอร์ (Andrew Derocher) นักวิทยาศาสตร์ด้านหมีขั้วโลกแห่งมหาวิทยาลัยแอลเบอร์ตา กล่าว “แนวโน้มเชิงลบของน้ำแข็งทะเลตลอดทุกเดือน เป็นสิ่งที่น่ากังวล”
ฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเย็นทำให้น้ำแข็งคงตัวอยู่ได้ ซึ่งทำให้หมีขั้วโลกสามารถเข้าถึงหนึ่งในอาหารโปรดอย่างแมวน้ำได้ง่ายขึ้น แต่ฤดูใบไม้ผลิที่อุ่นขึ้นทำให้เส้นทางหาอาหารที่สำคัญของพวกมันขาดหายไป “สำหรับ หมีขั้วโลก หมีตัวที่อ้วนที่สุดคือตัวที่อยู่รอด” เดโรเชอร์กล่าว
หมีที่ตัวอ้วนกว่า มีโอกาสที่จะอยู่รอดในฤดูร้อนซึ่งไม่มีน้ำแข็งและไม่มีหรือแทบไม่มีแหล่งอาหาร มากกว่าตัวที่ผอม และหมีเพศเมียที่อ้วนกว่า ต้องการพลังงานเพื่อให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกให้มีสุขภาพดีได้โดยสมบูรณ์ “ไม่เคยมี หมีขั้วโลก ตัวไหนที่มองตัวเองในทะเลสาบที่ละลาย แล้วคิดว่านี่ฉันอ้วนเกินไปแล้วนะ” เดโรเชอร์กล่าวอย่างติดตลก
เราทราบกันมานานแล้วว่าน้ำแข็งทะเลเป็นพื้นที่สำคัญที่หมีขั้วโลกใช้ล่าเหยื่อและเลี้ยงดูลูกๆ แต่กลับกลายเป็นว่า ตัวน้ำแข็งเองก็มีแหล่งพลังงานสำคัญเช่นกัน
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร PLoS ONE เมื่อปี 2018 ระบุว่าโภชนาการอย่างน้อยร้อยละ 70 ของหมีขั้วโลก (อย่างน้อยสำหรับประชากรหมีสามกลุ่มในภาคเหนือของแคนาดา) มีที่มาจากสาหร่ายที่เติบโตบนน้ำแข็งทะเล
ห่วงโซ่อาหารอันหนาวเหน็บ
คุณอาจจินตนาการถึงน้ำแข็งทะเลว่าเป็นพื้นที่สีขาวอันกว้างใหญ่ไพศาล นั่นคือมุมมองจากเบื้องบน แต่หากมองจากเบื้องล่าง น้ำแข็งทะเลนั้นปกคลุมไปด้วย “เสื่อ” สีน้ำตาลอมเขียวจากสาหร่ายหลากหลายชนิด
หากคุณกำลังจินตนาการถึงขากรรไกรขนาดยักษ์ที่กำลังขบเคี้ยวมื้ออาหารอันเยือกเย็นและกรุบกรอบ ซึ่งปกคลุมไปด้วยเมือกสีเขียว ไม่ คุณกำลังคิดผิด หมีขั้วโลกไม่กินน้ำแข็งทะเลโดยตรง ตรงกันข้าม นักวิจัยค้นพบว่าโภชนาการส่วนใหญ่ของหมีขั้วโลก ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่พึ่งพาสาหร่ายบนน้ำแข็งทะเลในฐานะแหล่งอาหาร งานวิจัยของพวกเขาศึกษาหมีขั้วโลกจากบริเวณอ่าวแบฟฟิน อ่าวฮัดสันตะวันตก และอ่าวฮัดสันใต้
หมีขั้วโลกกินแมวน้ำ (และวาฬเบลูกา ในบางพื้นที่) เป็นจำนวนมาก ทั้งแมวน้ำและวาฬกินปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ ซึ่งได้รับพลังงานจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เรียกว่าแพลงก์ตอนสัตว์ (Zooplankton) ซึ่งกินสาหร่ายบนน้ำแข็งทะเลอีกทอดหนึ่ง อาหารโปรดอย่างหนึ่งของหมีขั้วโลกอย่าง Ringed Seal ที่กินปลาและกุ้งหลากหลายชนิดซึ่งกินแพลงก์ตอน ในขณะที่แพลงก์ตอนเหล่านั้นกินสาหร่ายทะเล
หากอยู่แยกกัน สาหร่ายเหล่านี้แต่ละต้น “มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมเสียอีก” โทมัส บราวน์ (Thomas Brown) นักนิเวศวิทยาทางทะเล จากสมาคมเพื่อวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งสกอตแลนด์ (Scottish Association for Marine Science) กล่าว แต่เมื่อรวมตัวกัน สาหร่ายต้นเล็กๆ บนน้ำแข็งทะเลส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศในบริเวณขั้วโลก
หลังฤดูหนาวที่มืดมิด แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิจะกระตุ้นการเติบโดของสาหร่าย ซึ่งกลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีสำหรับสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วที่เรียกว่า โคพีพอด (Copepod) แอมฟิพอด (Amphipod) และแพลงก์ตอนสัตว์ ซึ่งมีแหล่งอาหารในบริเวณใต้น้ำแข็งทะเล เมื่อน้ำแข็งละลายในฤดูร้อน สาหร่ายเหล่านี้จมลงใต้ทะเล ทำให้ปลาที่กินสาหร่ายเหล่านี้ และแมวน้ำที่กินปลา กลายเป็นส่วนประกอบของห่วงโซ่อาหารที่ไล่ลำดับขึ้นไปถึงหมีขั้วโลก
หมีบนผืนน้ำแข็ง
ตลอดหลายปีมานี้ บราวน์ได้สำรวจระบบนิเวศในบริเวณขั้วโลกจากล่างขึ้นบน ขณะที่เขาศึกษาปลาดาวและเม่นทะเลบนพื้นทะเล เขาพบว่าร่างกายของพวกมันมีสารเคมีแบบเดียวกับที่พบในสาหร่ายบนน้ำแข็งทะเล สิ่งนี้ที่บ่งชี้ว่าพวกมันกินสาหร่ายจากบริเวณด้านบนของทะเล
จากนั้น บราวน์และทีมงานจึงตามหาสารเคมีดังกล่าว ซึ่งเรียกว่า IP25 ในฐานะตัวบ่งชี้ทางชีวภาพถึงการมีอยู่ของสาหร่ายในร่างกายของหมีขั้วโลก พวกเขาร่วมมือกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐในดินแดนนูนาวุต ของแคนาดา และชนพื้นเมืองชาวชาวอินูอิต (Inuit) ซึ่งมอบตัวอย่างตับจากหมีขั้วโลกที่ถูกล่าเพื่อดำรงชีวิต ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า โภชนาการหลักของนักล่าเหล่านี้ ประกอบไปด้วยคาร์บอนจากน้ำแข็งทะเลเป็นส่วนใหญ่
เดโรเชอร์ จากมหาวิทยาลัยแอลเบอร์ตา ชมเชยงานวิจัยชิ้นนี้ พร้อมระบุว่ามีกลุ่มประชากรหมีขั้วโลก 19 กลุ่มกระจายตัวอยู่ในบริเวณอาร์กติก ซึ่งแน่นอนว่างานขั้นตอนต่อไป คือการศึกษาเกี่ยวกับพวกมันในจำนวนที่มากขึ้น
เขากล่าวเสริมว่า แม้ว่าระบบนิเวศมีความแข็งแกร่ง แต่หากมีองค์ประกอบหายไปสักอย่าง “เมื่อเวลาผ่านไป ระบบนิเวศนั้นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” เขาคิดว่าน้ำแข็งทะเลมีความคล้ายคลึงกับดินในระบบนิเวศแบบป่า “องค์ประกอบพื้นฐาน คือสิ่งสำคัญสำหรับระบบนิเวศในแบบที่เรารู้จัก”
น้ำแข็งทะเลเป็นที่รู้จักในฐานะที่อยู่อาศัยสำคัญของหมีขั้วโลก “แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเราไม่เห็นภาพรวม และจะเป็นอย่างไรหากน้ำแข็งทะเลมีความสำคัญมากกว่าที่เราคิดกันไว้” บราวน์ตั้งคำถาม “น้ำแข็งทะเลที่ลดลง หมายถึงแหล่งอาศัยที่น้อยลงไม่สำหรับเฉพาะหมีขั้วโลก แต่ที่สำคัญ ยังรวมถึงบรรดาจุลชีพต่างๆ ในน้ำแข็งทะเล ที่รวมตัวกันเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อาหารชั้นล่างสุดของหมีขั้วโลก
การที่ขนาดของน้ำแข็งทะเลลดลง “เราอาจจำเป็นต้องประเมินใหม่ว่าหมีขั้วโลกตกอยู่ในความเสี่ยงแค่ไหน” เขากล่าวและเสริมว่า ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสิน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือ สำหรับหมีขั้วโลก มีน้ำแข็งย่อมดีกว่าไม่มีเป็นไหนๆ

แมวไทย


               HOMEPAGE        


                     


  หากพูดถึง แมว เราจะนึกถึงสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก น่ารัก ขี้อ้อนและแสนซนจนทำให้เจ้าของหลงรักและเลี้ยงไว้เสมือนเป็นสมาชิกหนึ่งในครอบครัว ซึ่งแมวนั้นก็มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สำหรับแมวพันธุ์ไทยแท้ คนกลับไม่นิยมเลี้ยงเหมือนแมวพันธุ์ต่างประเทศ และแทบจะไม่มีใครรู้เลยว่า ปัจจุบันแมวพันธุ์ไทย เหลืออยู่เพียง 4 สายพันธุ์เท่านั้น คือ วิเชียรมาศ ศุภลักษณ์ โกนจา และสีสวาด

          ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้แก่เด็กเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องแมวไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดเสวนาเรื่อง "แมวไทย อีกสัญลักษณ์หนึ่งของชาติไทย"  ซึ่งได้มีการเผยแพร่ประวัติความเป็นมาของแมวไทยโบราณพันธุ์แท้ว่า ตามหลักฐานที่ปรากฏในสมุดข่อยโบราณ กล่าวไว้ว่าแมวไทยมีทั้งหมด 23 ชนิด เป็นแมวมงคล 17 ชนิด และแมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด 

         แมวมงคล 17 ชนิด มีดังนี้

          1. นิลรัตน์ 

              ลักษณะ สีดำทั้งตัว รวมถึงเล็บ ลิ้น ฟัน ดวงตา และกระดูก หางยาวตวัดได้จนถึงหัว เลี้ยงไว้แล้วเชื่อว่าจะมีความเจริญ มีทรัพย์ ปราศจากอันตราย

          2. วิลาศ 

              ลักษณะ มีลำตัวสีดำจากคอไปตลอดท้อง จากสองหูไปจนถึงหางและขาทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเขียว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีเงินทองมากมาย

          3. ศุภลักษณ์ หรือ ทองแดง 
     
             ลักษณะ สีขนเป็นสีทองแดงตลอดตัว มีนัยน์ตาเป็นประกาย ใครเลี้ยงจักได้ยศถา ยิ่งพ้นพรรณนาเป็นอำมาตย์มนตรี

แมวมงคลของไทย
พันธฺุ์ศุภลักษณ์
          4. เก้าแต้ม 

              ลักษณะ มีสีขาวเป็นพื้น มีแต้มสีดำเก้าจุดที่คอ หัว ต้นขาหน้าและหลังทั้งสองข้างและที่ท้ายลำตัว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะรุ่งเรืองทางการค้าขาย

          5. มาเลศ หรือ แมวโคราช หรือ สีสวาด 

              ลักษณะ มีขนสีดอกเลาเปรียบเสมือนกับเมฆสีเทายามฟ้ายับฝน มีนัยน์ตาหยาดเยิ้มประหนึ่งน้ำค้างย้อยต้องกลีบบัว ใครพบเร่งให้อุปถัมภ์ แมวนั้นจักนำมาซึ่งสุขสวัสดิ์มงคล

          6. แซมเศวต 

             ลักษณะ  มีขนสีดำแซมขาว มีขนบางและสั้น รูปร่างเพรียว มีนัยน์ตาดั่งหิ่งห้อย เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย

          7. รัตนกัมพล 

             ลักษณะ ตัวขาวเหมือนหอยสังข์ แต่รอบตัวตรงส่วนอกมีลักษณะคล้ายสายคาดสีดำ ตาสีเหลือง เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมียศ ผู้อื่นยำเกรง

          8. วิเชียรมาศ 

             ลักษณะ เมื่อแรกเกิดมีขนสีขาวหมด พอโตขึ้นจะมีสีเปลี่ยนเป็นสีครีมอ่อน ๆ แต่ที่หน้า หาง เท้าทั้งสี่หูทั้งสองข้าง และที่อวัยวะเพศอีก 1 แห่งรวมเก้าแห่งมีสีน้ำตาล (สีเข้ม) มีนัยน์ตาประกายสีฟ้าสดใส เลี้ยงไว้มีคุณค่ายิ่งลำนักหนา จักนำโภคาพิพัฒน์สมบัติเพิ่มพูล

แมวมงคลของไทย
พันธุ์วิเชียรมาศ

          9. นิลจักร 

              ลักษณะ มีลำตัวดำสนิท ที่คอมีขนสีขาวอยู่รอบเหมือนกับปลอกคอ เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมีทรัพย์มาก

          10. มุลิลา 

              ลักษณะ ลำตัวดำ หูสองข้างมีสีขาว ตามีสีเหลืองเหมือนดอกเบญจมาศ เชื่อว่าแมวชนิดนี้เหมาะกับนักบวชเลี้ยงเพราะช่วยให้มีการเล่าเรียนดีสมปรารถนา

          11. กรอบแว่นหรืออานม้า 

              ลักษณะ มีปานลักษณะอานม้าบนหลัง เชื่อว่าแมวชนิดนี้มีราคาสูงถึงแสนตำลึงทองคำ และให้เกียรติยศแก่เจ้าของ

          12. ปัดเสวตรหรือปัดตลอด 

              ลักษณะ ตัวมีสีดำเป็นพื้น ตั้งแต่จมูกไปตามแนวสันหลังถึงปลายหางมีสีขาว ตาเหลืองคล้ายกับพลอย หากเลี้ยงไว้จะมีความเจริญมากกว่าคนในสกุลเดียวกันและได้ลาภยศ

          13. กระจอก 

              ลักษณะ ไม่กระจอกเหมือนชื่อ ลำตัวกลมมีสีดำ รอบปากมีสีขาว ตาสีเหลือง เลี้ยงแล้วเชื่อกันว่าจะได้ที่ดินเงินทอง ไพร่ก็จะได้เป็นเจ้านายคน

          14. สิงหเสพย์ หรือ โสงหเสพย์

             ลักษณะ ลำตัวมีสีดำ ที่ปาก รอบคอ จมูกมีสีขาว ตาสีเหลือง ท่าทางเดินสง่าเหมือนสิงโต เลี้ยงแล้วมีสิริมงคล

          15. การเวก 

              ลักษณะ ลำตัวสีดำ จมูกสีขาว ตาเป็นประกายสีทอง เชื่อกันว่าภายใน 7 เดือนที่ได้มาเลี้ยงจะได้ยศศักดิ์และลาภจำนวนมาก

          16. จตุบท 

              ลักษณะ ตัวสีดำ เท้าทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเหลืองเหมือนดอกโสน เชื่อว่าให้คุณกับคนเลี้ยง แต่ไม่เหมาะกับคนทั่วไป สมควรเลี้ยงแก่บุคคลชั้นสูงหรือราชินิกูลเท่านั้น

          17. โกนจา หรือ ดำปลอด

              ลักษณะ มีสีดำละเอียด นัยน์ตาสีดอกบวบแรกแย้ม หางเรียวยาว ท่าทางการเดินสง่าเหมือนสิงโต แมวนี้เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย

        แมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด มีดังนี้ 

          1. ทุพพลเพศ 

              ลักษณะ มีขนสีขาว ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตทาตาไว้ มีนิสัยไม่ดีชอบลักขโมยปลาไปกินทุกคำคืน ใครเลี้ยงไว้จะให้โทษไม่เป็นสุขเกิดความเดือดร้อนแรงผลาญ

          2. พรรณพยัคฆ์หรือลายเสือ 

              ลักษณะ มีขนลายเหมือนเสือ ลักษณะขนเหมือนชุบด้วยเกลือกับแกลบ มีนัยน์ตาสีแดงเจือสีเปือกตม มีเสียงร้องเหมือนเสียงผีโป่งร้องอยู่ตามป่าเขา ถือว่าเป็นแมวให้โทษอีกชนิดหนึ่ง

          3. ปีศาจ 

              ลักษณะ เป็นแมวที่กินลูกตัวเอง ออกลูกมากี่ตัวกินหมด ลักษณะขนสาก ตัวผอม หนังยาน โบราณจัดเป็นแมวร้ายอย่านำมาเลี้ยงไว้

          4. หิณโทษ 

              ลักษณะ เป็นแมวนำมาซึ่งสิ่งเลวร้าย นำภัยพิบัติมาสู่บ้าน ใครเลี้ยงไว้จะไม่เป็นมงคล ออกลูกมามักจะมีลูกตายอยู่ในท้อง

          5. กอบเพลิง 

              ลักษณะ เป็นแมวที่ลึกลับชอบซ่อนตัวหลบหลีกผู้คน พอมันเห็นคนมันจะเดินหรือรีบวิ่งหนี ใครเลี้ยงไว้จะมีโทษถึงตัว

          6. เหน็บเสนียด 

              ลักษณะ มีลักษณะเหมือนค่าง ชอบเอาหางขดซ่อนไว้ใต้ก้นเสมอ มีรูปร่างพิกลพิการ อย่าเลี้ยงไว้ในบ้านจะทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศ
 
        เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้มีการอนุรักษ์แมวไทยอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันนี้แมวมงคลสูญพันธุ์ไปแล้วถึง 13 ชนิด หลงเหลือให้คนรุ่นหลังได้ชมเพียง 4 ชนิดเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่พันธุ์แมวไทยแท้เหลือน้อยลงทุกวัน เพราะคนไทยมองข้ามแมวไทยหันไปเลี้ยงแมวสายพันธุ์ของต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่สถานการณ์แมวไทยน่าเป็นห่วงเพราะเด็กและแม้แต่ผู้สูงอายุบางคนยังไม่รู้จักแมวไทย โดยราคาค่าตัวแมวไทยปัจจุบันจะอยู่ที่ 5,000-6,000 บาท
 

        ทั้งนี้ แมวไทยสามารถเพาะพันธุ์จำหน่ายทำเป็นอาชีพได้ เพราะตลาดต่างชาติให้ความสนใจ ตอนนี้ตลาดในญี่ปุ่นราคาซื้อขายตัวหนึ่งถึง 200,000 แสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งทาง คุณอิสริย รัตนะวีระวงศ์ ผู้ที่เพาะพันธุ์แมวไทยสีสวาดหรือแมวโคราช และเป็นเจ้าของ บุญมาก แมวพันธุ์สีสวาดราคา 250,000 บาท เผยว่า ปัจจุบันตลาดต่างประเทศนิยมแมวสีสวาดและแมววิเชียรมาศ ซึ่งได้รับการสั่งซื้อทั้งจากเอสโตเนีย เยอรมนี ญี่ปุ่น ส่วนสาเหตุที่ราคาแพงนั้น เนื่องจากเลี้ยงด้วยเนื้อวัวสด เลี้ยงในห้องแอร์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้โครงสร้างขนาดใหญ่พร้อมฝังไมโครชิปและทำวัคซีนให้ครบ มีใบรับรองหรือเพ็ดดีกรี ก่อนส่งมอบให้เจ้าของที่อายุ 4 เดือน

อ้างอิง : https://pet.kapook.com/view51597.html

แฮมเบอร์เกอร์

ขั้นตอนแรกคือ  สร้างหน้างา นขึ้นมาก่อน ขอบคุณค่ะ/ครับ💓